Translate

วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

การหาราคาพื้นฐานหุ้นด้วย วิธี DDM,P/E และ P/BV



การประเมินราคาพื้นฐานหุ้นด้วยวิธี DDM,P/E และ P/BV

กล่าวนำ
มีเนื้อเพลงที่เป็นวลีเด็ดที่ผมยังจำได้ตอนเป็นเด็ก จนถึง ปัจจุบันนี้ คนจนเล่นหวย คนรวยๆเขาไปเล่นหุ้นทำไมคนรวยถึงไปเล่นหุ้น?ทำไมไม่เอาเงินไปซื้อหวยหรือฝากธนาคารกินดอกเบี้ย มาถึงบางอ้อก็ตอนที่ ได้มาศึกษารายละเอียดต่างๆนี่เอง
ทำไมต้องลงทุนในหุ้น
ลงทุนในหุ้น(Equity)จะได้ผลตอบแทนสูงที่สุดในการลงทุนระยะยาวเทียบ10ปี (Eguity 12%,Bond 10%,Cash 7%,Gold 3%)


วิธีการลงทุนในตลาดหุ้น
           นักลงทุนแบ่งเป็น 2ปะเภท นักลงทุน(VI) กับ นักเกร็งกำไร(MI)
     นักเกร็งกำไร(MI ; Momentum Investor) จะให้มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด คือ แพงก็ซื้อถ้าคิดว่าหุ้นตัวนั้นจะขึ้น เก่งในเรื่องการ stop loss กล้าที่จะ Cut lossทันที เมื่อหุ้นไม่เป็นไปตามที่แนวโน้มที่คิด และ let profit run ปล่อยให้หุ้นขึ้นไปพอถึงจุด Stop Gain ก็ขาย
     นักลงทุน(VI ; Value Investor) จะตัดสินราคาตลาดด้วยการพิจารณามูลค่าของหุ้น
 1.เลือกหุ้นดี คุณสมบัติของหุ้นดี บริษัทเติบโตสม่ำเสมอ มีอำนาจต่อรองกับลูกค้าสูง ฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์ เป็นผู้นำในธุรกิจนั้นๆ เป็นต้น
 2.ซื้อหุ้นถูก ซื้อหุ้นตอนตอนมูลค่าหุ้นถูก
 3.ถือหุ้นยาว ข้อ3.เป็นสิ่งที่ยากที่สุดประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นต้องถือยาวถึง 25ปี ถึงจะมีกำไรแบบไม่มีขาดทุน กำไรต่ำสุดอยู่ที่1.6% สูงสุด สูงสุด 25% เฉลี่ย 13%
 4.กระจายความเสี่ยง เลือกหุ้นดี ซื้อหุ้นตอนมูลค่าหุ้นถูกเป็นการลดความเสี่ยง ถือหุ้นยาวก็เป็นการลดความเสี่ยงอีกอย่างนึง



     แต่ที่จะแนะนำในตอนนี้คือ ซื้อหุ้นถูก โดยการประเมินมูลค่าพื้นฐานของหุ้น ก่อนอื่นต้องรู้ว่ามูลค่าแท้จริง(Intrinsic Value)มีแนวคิดที่มายังไง มูลค่าแท้จริง เกิดจากผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับในอนาคต ต้องคุ้มกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น ซึ่งจะต้องมากกว่าผลตอบแทนที่ได้รับอยู่แล้ว ซึ่งมีตรรกะที่น่าเชื่อถือได้ คือเอาผลงานในอดีตเพื่อมาประเมินผลงานในอนาคตนั่นเอง

การประเมินมูลค่าพื้นฐานของหุ้นด้วยวิธี DDM(Dividend Discount Model)




P = มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นในปัจจุบัน
t  = ปีที่ลงทุน 
D = เงินปันผลในปีที่ 1,2,3....t
k = ผลตอบแทนที่ต้องการ (จากความเสี่ยง  High risk High Return นะ)


    โดยผมจะเลือกใช้ แค่สองสมมุติฐาน ซึ่งเหมาะกับตัวผมเอง เพราะผมไม่ใช่นักวิเคาะห์(คาดเดาอนาคตไม่ได้อ่ะ)                                


สมมุติฐานที่1 เงินปันผลได้รับคงที่ทุกงวด (Zero Growth Model) 





  สมมุติฐานที่2 เงินปันผลมีอัตราการเพิ่มคงที่ทุกงวด (Constant Growth Model) 

D0  = เงินปันผลปีล่าสุด
g = อัตราการเติบโตของเงินปันผล  (growth)

Beta ; 
ค่าที่ควรรู้อีกค่าหนึ่งคือ ค่า  beta ค่าความเสี่ยงของหุ้นตัวนั้นๆ หาได้จากการนำอัตราผลตอบแทนของหุ้นตัวนั้นมา plot graphกับอัตราผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ ทำประมาณ3ปี แล้วลาก trend Line ค่า Slope ของ trend Line คือ Beta ถ้ามีค่ามากกว่า 1หมายถึงมีความเสี่ยงมากกว่าตลาดหุ้น มีค่าน้อยกว่า1 มีความเสี่ยงน้อยกว่าตลาดหุ้น
k = ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับในการลงทุน


                                                                    
ผลตอบแทนขั้นต่ำในการลงทุน คิดจาก
Rf  (Risk free rate)ผลตอบแทนที่ปราศจากความเสี่ยง พันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ประมาณ 3.5%
Rm  (Return on Market) ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจากตลาดหุ้นเฉลี่ย 40ปี ประมาณ 12%
g = อัตราการเติบโตของเงินปันผล 
                          สินทรัพย์(10)   = หนี้สิน(8) +ส่วนผู้ถือหุ้น(2)

g =  กำไรสุทธิ/ส่วนผู้ถือหุ้น หรือก็คือ  ROE(Return on Equity) ลบด้วยจ่ายปันผล(payout)ที่ออกไปแล้ว




จะได้สูตรความสัมพันธ์ของP/E และ P/BV ออกมา คือ  


ตัวอย่างการหาราคาพื้นฐานหุ้น ด้วยวิธี DDM,P/E และ P/BV





ซึ่ง ค่าต่างๆเราก็สามารถหาได้ จาก website ทางการลงทุน เช่น www.set.ot.th. , www.siamchart.com แต่ผมใช้ตอนนี้เป็น File Excel ของ บลจ.กสิกรไทย ครับ มีครบทุกค่าไม่ต้องไปหาที่ใหนอีก พร้อมบางตัวเขาคิดใว้ให้แล้วด้วย สูตรที่บางช่องไม่ตรงก็แก้นิดหน่อย ของฟรีก็ต้องมีข้อเสียบ้าง สามารถดาวน์โหลดได้จาก www.kasikornsecurities.com 
 สุดท้ายอยากบอกว่าการลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษารายละเอียดให้ดีก่อนการลงทุน มีสติ อย่าลงทุนด้วยอารมณ์และความรู้สึก ต้องมีความชอบในธุรกิจนั้นๆจริงๆ เพราะการลงทุนเหมือนคุณเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นๆแล้ว คุณจะมีความสุขในการลงทุน ขอให้โชคดีครับ

 
 
 

 

 







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น